BROMPTON ทำไมคนเมืองถึงยอมจ่ายเพื่อ ซื้อ จักรยาน พับได้ ราคาแพงเท่ามอเตอร์ไซค์

Brompton เป็น จักรยาน คันเล็ก พับได้ ที่มีราคาพอ ๆ หรือแพงกว่ามอเตอร์ไซค์ แต่ทำไมกลับเป็นสิ่งที่คนยอมจ่ายและกลายเป็นจักรยานสุด classic ที่ไม่ว่าคุณเป็นนักปั่นประเภทไหน ก็คิดว่าควรจะต้องมี Brompton ไว้ครอบครองซักคัน

แม้ประชากรชาวยุโรปส่วนใหญ่มักเลือกการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกและรวดเร็ว แต่จักรยานก็กลายเป็นยานพาหนะประจำตัวของคนในเมือง เพราะจักรยานคืออีกยานพาหนะที่สำคัญที่มาช่วยเติมเต็มการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้ดียิ่งขึ้นจากต้นทางไปยังระบบขนส่ง และจากระบบขนส่งไปยังจดหมายปลายทาง แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีปัญหามากมายในการใช้จักรยานขับขี่ภายในเมือง เช่น การต้องนำขึ้นระบบขนส่งสาธารณะ (กรณีคนที่บ้านอยู่นอกเมืองแล้วนั่งรถไฟเข้ามาทำงานในเมือง และต้องการเดินทางต่อไปยังที่ทำงานหรือปลายทางด้วยจักรยานเพื่อประหยัดเวลาเดินทางหลายต่อ) หรือการโดนขโมย (เพราะต้องจอดจักรยานเอาไว้ด้านนอกอาคาร)

Andrew Ritchie ก็เป็นหนึ่งในผู้ใช้งานและผู้ประสบปัญหากวนใจในการใช้จักรยานในการเดินทาง เขาจึงเริ่มออกแบบจักรยานที่เขาคิดว่ามันจะเป็นจักรยานที่ดีกว่า ที่ตอบโจทย์สำหรับคนเมืองอย่างเขากว่าที่มีอยู่ให้ได้ และ prototype แรกของ Brompton ก็เกิดขึ้นภายในห้องนอนเล็ก ๆ ของเขาเองในปี 1975

หนึ่งจุดเด่นอันเลื่องชื่อของเจ้า Brompton ก็คือ “วิธีการพับ” เพราะ Brompton ได้ชื่อว่า เป็นจักรยานที่สามารถพับเก็บได้ภายใน 20 วินาที และใช่ การกางออกนั้นเร็วกว่าการเก็บอีก!!! และในขั้นตอนของการพับเก็บจากเป็นจักรยานที่ขี่ได้จนมีขนาดเล็กที่สุดนั้น นั้นมีเพียง 4 ขั้นตอน และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ คุณสามารถที่จะพับไว้ที่ขั้นตอนไหนก็ได้ แต่ละรูปแบบนั้นก็เหมาะสมกับการพับเก็บที่แตกต่างกันไป เช่น 

การพับขั้นตอนแรก (การตวัดล้อหลังให้มาอยู่ใต้คานภายใต้การกดแค่จุดเดียว) การพับลักษณะนี้แทนการตั้งขาตะเกียบของจักรยานทั่วไป เท่ากับว่าเราสามารถพับทั้งตั้งจักรยานได้ โดยใช้พื้นที่ที่เล็กมาก (2/3 ของความยาว Brompton ทั้งคันซึ่งก็สั้นอยู่แล้ว)

Brompton ถูกออกแบบให้เก็บล้อหน้าโดยการพับมาประกบทางด้านข้าง ซึ่งจะไปประกบกันพอดีกับล้อหลังที่ถูกพับโดยการตวัดมาเก็บใต้คาน หลังจากนั้นเราก็ปลดล็อคแกนอานจักรยานให้ไหลลงมาเก็บ ซึ่งนั่นคือการล็อคล้อไปในตัว หลังจากนั้นเราก็สามารถเข็นเจ้า Brompton ไปกับเราได้ตลอดทาง โดยจับที่แฮนด์จักรยานแล้วเข็นหรือลาก (ตรงล้อหลังของ Brompton จะออกแบบมาให้มีล้อเล็ก ๆ 2 อันอยู่ด้านข้างซึ่งมันจะมาอยู่บนพื้นพอดีเมื่อเราพับ เอาไว้เป็นล้อใช้เวลาเข็น)

อันนี้จะเป็นท่าสุดท้ายที่ทำให้เจ้า Brompton นั้นมีขนาดเล็กจิ๋ว สามารถใส่ท้ายรถ วางไว้ข้าง ๆ เท้าเวลาขึ้นรถไฟฟ้า (เหมือนกระเป๋า 1 ใบ) หรือแม้กระทั่งเก็บไว้ใน locker โดยน้ำหนักของมันรุ่นที่หนักที่สุดอยู่ที่เพียง 13 กิโลกรัมเท่านั้น ดังนั้นเราสามารถยกมันได้ด้วยมือเดียวสบาย ๆ และเราสามารถยก Brompton ขึ้นได้โดยการจับที่คานจักรยานหรือจับที่ปลายเบาะ ซึ่งจะเป็นจุดที่มีจุดศูนย์ถ่วงพอดี 

หากเราสังเกตดู จะพบว่า design ของ Brompton แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยตั้งแต่วันแรกที่ออกวางจำหน่าย ซึ่งนั่นสะท้อนถึงการออกแบบที่ดีที่จะอยู่ได้อย่างยาวนานโดยไม่ตกยุค และหากเราไปถามคนที่ซื้อ Brompton เกือบทั้งหมดก็จะมีคำตอบนี้รวมอยู่ในเหตุผลของการตัดสินใจซื้อ เพราะไม่ว่าคุณจะขับไปอีกกี่ปี มันก็ไม่รู้สึกว่าเก่าเลย เอกลักษณ์ที่สำคัญของ Brompton ที่เห็นแล้วก็รู้ได้เลยทันทีก็คือ ตัวถังเส้นโค้งพิเศษในแบบของ Brompton ที่มีที่มาที่ไปมาจากโค้งเพื่อให้ล้อหลังสามารถตวัดเข้ามาเก็บใต้ท้องรถได้ โดยยังคงตัวถังให้ต่ำได้อยู่เพื่อความคล่องตัว และเหมาะสำหรับการขี่ในเมืองทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ส่วนที่จะต่างกันและให้เราเลือกมีเพียง น้ำหนัก สี รูปแบบของ handlebars (มี 4 แบบ S, M, P, H type ตามลักษณะการขับขี่ที่แต่ละคนถนัด) และจำนวนชุดเกียร์ เท่านั้น

จักรยานพับได้นั้นต้องใช้การประกอบที่แข็งแรงทนทางกว่าจักรยานทั่วไป เนื่องจากจะต้องมีทั้งการพับเข้าและออก รวมถึงข้อต่อที่หมุนได้เหล่านั้นจะต้องรับน้ำหนักที่เกิดจากการกระแทกมากเมื่อเกิดการขับขี่ ซึ่งหากไม่ได้รับการออกแบบและผลิตที่แข็งแรงมากแล้ว จักรยานก็จะไม่สามารถถูกนำไปใช้ในการเดินทางทุก ๆ วันได้ ดังนั้นขั้นตอนการผลิตทั้งหมดของ Brompton ใช้ฝีมือช่างทั้งหมดในการเชื่อมและประกอบทั้งคัน 

ใน Brand ที่ทำ product ได้ดีแล้ว มักจะต่อยอดด้วยการใช้ service มาเติมเต็มและทำให้ brand แข็งแรงขึ้น มอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีขึ้นไปอีกให้แก่ลูกค้า Brompton ก็เช่นกัน นอกจากจะมีบริการ test ride ที่สามารถให้ลูกค้าทดลองปั่นจักรยาน Brompton ประมาณ 20-30 นาที เพื่อหาโมเดลที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว คุณยังสามารถทดลองเช่าขับได้เป็นวัน ๆ อีกด้วย โดยจะมีสถานทีจอดอยู่ตามที่ต่างๆภายในเมือง เป็นทั้งจุดเช่นจักรยานเพื่อใช้ชั่วคราวและเป็นการเช่าเพื่อให้ทดลองขับไปด้วยในตัว 

ในส่วนของ after-sale service ของ Brompton ก็มีมากมายตอบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นประกัน (ที่ร่วมมือกับบริษัทประกัน Bikmo Cycle Insurance) การซ่อมบำรุง การให้คำปรึกษา ตรวจเช็คสภาพ ซึ่งบริการต่าง ๆ เหล่านี้เองเป็นสิ่งที่ช่วยให้เจ้าของรู้สึกอุ่นใจได้ตั้งแต่ขี่ออกจากร้าน

อ้างอิงภาพ : Dezeen, Brompton Bicycle USA